“ปราจีนบุรี”

ภาษาบาลีวันละคำวันนี้ขอเสนอคำว่า
จังหวัดปราจีนบุรี

ปราจีนบุรีนามเก่าชวนขาน
เมืองบางคางเรียกมานานตามภาษา
เขมรเรียกปราจีนได้ยินมา
ไทยเรียกว่าบางคางอย่างทั่วกัน

เมืองทางทิศตะวันออกบอกให้รู้
นามปราจีนบุรีดูรู้ไว้มั่น
เป็นจังหวัดประเทศไทยในปัจจุบัน
ตราบนิรันดร์เมื่อมาชมนิยมเอยฯ

“ปราจีนบุรี”
อ่านว่า ปา-จีน-บุ-รี
แปลว่า เมืองทางทิศตะวันออก
ประกอบด้วย ปราจีน + บุรี

“ปราจีน”
“ปราจีน” มาจากคำสันสกฤต “ปฺราจีน”
“ปฺราจีน” ภาษาไทยเขียนอิงสันสกฤต “ปราจีน”
“ปราจีน” ในบาลีเป็น “ปาจีน”
“ปาจีน” บาลีอ่านว่า ปา-จี-นะ
“ปาจีน” แปลตามศัพท์ว่า “ทิศเป็นที่ขึ้นไปทีแรกแห่งดวงอาทิตย์” “ทิศที่มาถึงก่อน” หมายถึง ทิศตะวันออก

“บุรี”
“บุรี” ภาษาบาลี “ปุรี”
“ปุรี” ในภาษาสันสกฤตใช้ “ปุร“
“ปุร“ อ่านว่า ปุ-ระ
“ปุร” แปลตามศัพท์ว่า “ที่ที่รักษาประชาชน”
หมายถึง
(1) เมือง, ป้อม, บุรี (a town, fortress, city)
(2) ที่อยู่อาศัย, บ้านหรือส่วนที่แยกกันของบ้าน
(3) ร่างกาย

“ปุร” ภาษาไทยใช้เป็น “บุรี”
“ปุร” ภาษาละติน “pura”
”ปุร” ในภาษากรีก “Polis”

“Polis” มีความหมายเดียวกับ buri , bury
มีความหมายแปลว่า เมือง เช่น Canterbury, Shrewbury ,Panpuri

ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก “Prussian” ปรัสเซีย
หรือ พร็อยเซิน ในภาษาเยอรมัน
หรือที่เรียก “โบรุสซีอา” Borussia ในภาษาละติน
ซึ่งเป็นรัฐที่รุ่งเรืองที่สุดของชนชาติเยอรมัน

ในโลกตะวันออก มีคำศัพท์ที่มีรากศัพท์เดียวกับ “บุรี” มากมาย ในอินเดียมีเมือง Jaipur, Udaipur, Khanpur, Vatapura, Rajwapura

ในปากีสถานมี Shikar Pur
ในสิงคโปร์มี Singapore มาจาก Singh + pur
(ภาษาสันสกฤต “city of the lion”)
ในมาเลเซียมี Kuala Lumpur กัวลาลัมเปอร์

borough (โบโร่) มีรากศัพท์เดียวกับ “บุรี”
และยังมีรูปคำอื่นที่แปลว่าเมืองเช่น burg, burgh

Germany มีเมืองที่มีคำว่า “burg”
ใน Latin มีคำเรียกเมืองว่า “parcus”
ส่วน Greek มีคำเรียกเมืองว่า “pyrgos”
กลุ่มคำเหล่านี้แปลว่า fort, town
ที่มีความหมายแฝงว่า “fortified” แปลว่า แข็งแรง

เช่นเมือง St.Petersburg , Pittsburgh , Hamburg , Middlesborough

ประวัติศาสตร์
คำว่า “ปราจีน” เป็นคำภาษาสันสกฤต แปลว่า “มีในทิศตะวันออก” คำนี้เดิมเรียกว่า “ประจิม” หมายถึงทิศตะวันตก ตามศัพท์ “ปราจีนบุรี” จึงหมายถึงเมืองในทิศตะวันออก แต่หากใช้ชื่อว่า “ประจิม” จะหมายถึงเมืองในทิศตะวันตก จากการตรวจสอบเอกสารโบราณต่างๆ พบว่าในเอกสารโบราณของไทย เรียกชื่อเมืองปราจีนบุรีออกเป็น 3 ชื่อ คือ 1. เมืองบางคาง 2. เมืองประจิม และ 3. เมืองปราจีนบุรี

“เมืองบางคาง” ปรากฏในพงศาวดารละแวก ฉบับพระองค์เองแปลในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เรียกเมืองปราจีนบุรีว่า “เมืองบางคาง” ดังข้อความตอนหนึ่งว่า

“..พระเจ้าคำขัดมีเดชานุภาพ แลพระนครนั้นเคยขึ้นพระนครศรีอยุทธยาก็มิได้ไปอ่อนน้อม พระเจ้าคำขัดก็ยกกองทัพเข้ามาจะตีเอาพระนครศรีอยุทธยา ครั้นมาถึงคลองสะมัดไชย แล้วยกล่วงเข้าไปถึงด่านสำโรง แขวงเมืองจันทบูรร บางคาง กวาดได้ครัวอพยพเป็นอันมาก…”

ชื่อ “เมืองบางคาง” นี้นอกจากจะปรากฏในพงศาวดารละแวก ฉบับพระองค์เองแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชาธิบายว่า เมืองประจิมเป็นชื่อเขมร เพราะอยู่ทิศตะวันตกของเมืองพระนครหลวง เมืองบางคางเป็นชื่อไทย ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่อง “เขมรแบ่งเป็นสี่ภาค” ดังนี้

“…แผ่นดินเขมรเป็น 4 ภาค คือส่วนที่โบราณเรียกว่าขอมแปรพักตร์และจะว่าให้รู้ง่ายอีกอย่างหนึ่ง เขมรไทย คือเขตต์แขวงตั้งแต่ฝั่งน้ำปะดงข้างตะวันออกไปจนฝั่งข้างตะวันตกของทะเลสาบ ชื่อบ้านเมืองเหล่านี้เป็นชื่อภาษาไทยบ้างชื่อเขมรบ้าง เป็นสองชื่อทั้งไทยทั้งเขมรบ้าง อย่างเมืองฉะเชิงเทราเป็นชื่อเขมร เมืองแปดริ้วเป็นชื่อไทย เมืองประจิมเป็นชื่อเขมร เพราะอยู่ทิศตะวันตกของพระนครหลวง เมืองบางคางเป็นชื่อไทย เมืองนครนายกเป็นชื่อสันสกฤตเขมรตั้ง บ้านนาเป็นชื่อไทย ด้วยนัยนี้ ที่ต่างๆ ตลอดไป เป็นชื่อไทยบ้างชื่อเขมรบ้าง คนที่อยู่ในเมืองเหล่านั้น ก็เป็นไทยบ้างเขมรบ้างปนกันมาแต่โบราณจนทุกวันนี้

เหมือนอย่างเมืองนครเสียมราฐทุกวันเขมรเรียกว่านักกร แต่คำโบราณเขมรเรียกว่าเสียมเงียบบ้าง เสียมเรียบบ้าง ไทยเรียกว่าเสียมราฐ ตามคำเขมรโบราณ ก็คำนั้นแปลว่าเมืองไทยทำปลาแห้ง คือแต่ก่อนเป็นบ้านเมืองไทยทำปลาแห้งขาย อย่างเมืองฉะเชิงเทราที่ไทยเรียกว่าเมืองแปดริ้วนั้น เขมรก็มามีอยู่มากจนทุกวันนี้ ก็เมืองส่วนนี้ แต่ก่อนพงศาวดารลึกขึ้นไป กรุงมหานครของเขมรอยู่ที่นครหลวง ใกล้กับเมืองเสียมราฐ ซากเศษเมืองเก่าปราสาทราชฐานเหลืออยู่มากจนทุกวันนี้ ก็เมื่อพวกไทยมีกำลังเจริญขึ้น ยกทัพไปรบกวนเนื่องๆ ทำให้บ้านแตกเมืองเสียเป็นหลายครั้ง จนเจ้านายฝ่ายเขมรเห็นว่าเมืองนั้นอยู่ใกล้ไทยนัก อีกอย่างหนึ่งรังเกียจว่าเป็นเมืองเก่า อาลัยของเจ้านายฝ่ายเขมรที่ตายแล้วซ้ำซากมา เป็นผีสิงอิจฉาหึงหวงเจ้านายที่เป็นขึ้นใหม่ๆ ให้ตายเร็วๆ ง่ายๆ บ่อยๆ นัก จึงล่าเลิกถอยไปเสียข้างใต้ ก็ในจังหวัดวงเขมรเจือไทยนี้

เมื่อใดไทยมีกำลังมาก ก็ครอบงำออกไปจนหมดบ้างไม่หมดบ้าง เมื่อไรเขมรมีอำนาจขึ้นก็ครอบงำเข้ามาจนถึงเมืองนครนายก เมืองประจิม เมืองฉะเชิงเทรา ที่ไทยเรียกว่าบ้านบางคาง และแปดริ้วนั้นบ้าง ไพร่บ้านพลเมืองสองอย่างปะปนกันอยู่ดังนี้มานาน แต่จังหวัดขอมแปรพักตร์นี้ ได้ตกเป็นของไทยทั้งสิ้นขาดทีเดียว จนเจ้านายฝ่ายเขมรหรือญวนก้ำเกินเข้ามาไม่ได้เลยทั้งสิ้น ตั้งแต่เมืองปัตบอง เมืองนครเสียมราฐ เข้ามาดังนี้นั้น ตั้งแต่ต้นพระบรมราชวงศ์นี้ เมื่อปีขาล จัตวาศก จุลศักราช 1144 ตรงกับคริสต์ศักราช 1782 นั้นมาจนบัดนี้ ในเขตต์แขวงแผ่นดินขอมแปรพักตร์ที่ว่ามานี้ ไทยได้ไปตั้งบ้านตั้งเมืองลงใหม่หลายเมืองคือ มงคลบุรี ศรีโสภณ วัฒนานคร อรัญญประเทศ ถึงเมืองปัตบอง เมืองเสียมราฐ แต่ก่อนก็ไม่มีป้อมและกำแพง ฝ่ายไทยได้ไปสร้างขึ้นเกือบสามสิบปีมาแล้ว ส่วนนี้เป็นส่วนที่หนึ่ง…”

ปัจจุบันในอำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ยังมีวัดชื่อ “วัดบางคาง” ซึ่งพบร่องรอยหลักฐานโบราณคดีที่ร่วมสมัยอยุธยา แสดงให้เห็นว่า เมืองปราจีนบุรีเคยชื่อว่า “เมืองบางคาง” และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “เมืองประจิม” ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ดังปรากฏหลักฐานในแผนที่เดินทัพสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ฉบับที่ 7 “เขมรในนี้” สันนิษฐานว่าเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แผนที่ฉบับนี้เป็นแผนที่แสดงเส้นทางเดินทัพจากกรุงเทพฯ ไปยังกัมพูชา ได้แสดงตำแหน่งที่ตั้งของ “ปรจิม” หรือเมืองปราจีนบุรีไว้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในกฎหมายตราสามดวงได้เรียกชื่อเมืองปราจีนบุรีว่า “ปราจินบุรี” แสดงมีการเรียกชื่อ “เมืองประจิม” ปะปนกับ “เมืองปราจินบุรี” ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว

ตราประจำจังหวัด ปราจีนบุรี
เป็นรูปต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ ปลูกไว้ที่ตำบลโคกปีบ อำเภอศรีมโหสถ เป็นสัญลักษณ์ทางด้านพุทธศาสนาที่เชิดหน้าชูตาของจังหวัดปราจีนบุรี เพราะเชื่อกันว่าเป็นต้นโพธิ์ที่สมณฑูตจากอินเดีย ซึ่งมาเผยแพร่พระศาสนา เมื่อราว พ.ศ. 500 ได้นำพันธุ์มาจากพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา ประเทศอินเดีย เป็นต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าประทับบำเพ็ญธรรมจนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธินี้เป็นที่นับถือบูชากราบไหว้ของราษฎรในท้องที่และต่างท้องที่ และมีการจัดงานนมัสการเป็นประจำทุกปี

คำขวัญประจำจังหวัด
“ศรีมหาโพธิ์คู่บ้าน ไผ่ตงหวานคู่เมือง
ผลไม้ลือเลื่อง เขตเมืองทวารวดีง”

ภาษาบาลีวันละคำ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก
ประธานโครงการ
พระราชญาณกวี (ปิยโสภณ)
วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก

แต่งกลอนประกอบ
พระมหารัตนกวี ธมฺมโฆสโก
วัดนางชี ภาษีเจริญ กทม.

ค้นคว้า – วิเคราะห์
พระเจสัน ขันติโก วัดลาดปลาเค้า กทม.

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *